วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เทคนิคการตกแต่งภายในคอนโดให้ดูมีสไตล์

เทคนิคการตกแต่งภายในคอนโดให้ดูมีสไตล์ 

แนวโน้มในการเลือกที่พักอาศัยของคนเมืองในยุคปัจจุบันนี้ เริ่มนิยมหันมาอยู่ “ คอนโดมิเนียม ” และต่างก็ซื้อหา คอนโดโครงการใหม่ กันมากขึ้น ทำให้ทุกๆวันนี้ที่พักอาศัยจึงไม่ได้จำกัดแค่ความเฉพาะคำว่า “ บ้าน ” เหมือนเมื่อก่อนนั้น แต่ยังรวมถึง คอนโด อีกด้วย และถ้าคุณอีกเป็นคนหนึ่งที่เลือกอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม และกำลังวางแผนที่จะตกแต่งห้องคอนโดมิเนียมอยู่แล้วล่ะก็... คงจะมีคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัว รวมถึงคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรให้คอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่จำกัดนั้นอยู่ได้อย่างสบายและอบอุ่นเหมือนอยู่ที่บ้าน
ทางเราได้มีคำตอบของการตกแต่งคอนโดมิเนียม จากผู้เชี่ยวชาญได้มาแนะนำ เพื่อให้คุณมีเทคนิคเคล็ดลับ หรือวิธีการดีๆ สำหรับการแต่งห้องคอนโดมิเนียมของคุณอย่างชาญฉลาด นายประกิต พนานุรัตน์ สถาปนิกคอนโดมิเนียมพรอม พหลโยธิน 2 แนะนำหลักการสำคัญของการตกแต่งห้องคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ค่อนข้างจะจำกัด ให้อยู่สบายเหมือนบ้าน โดยเริ่มต้นจากเทคนิคง่ายๆ เหล่านี้

จัดสรรพื้นที่ใช้สอยให้มีความยืดหยุ่น
ด้วยการรวมพื้นที่คอนโดบางส่วนเข้าด้วยกันในลักษณะของพื้นที่เอนกประสงค์ ปรับเปลี่ยนได้หลายประโยชน์ใช้สอย และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย อาทิเช่น โต๊ะรับประทานอาหาร สามารถปรับเปลี่ยนมาเป็นโต๊ะทำงานได้ หรือ ใช้เป็นโต๊ะจัดเตรียมอาหาร, ชุดโซฟานั่งพิงนอนเล่น ก็ยังใช้ได้ทั้งดูทีวี เล่นเกมส์และทำงาน หรือไว้รับแขกได้ แล้วเลือกใช้ระบบ wireless และ laptop ทำให้สามารถนั่งทำงานได้ในทุกๆส่วนของห้องเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ
แต่งเน้นเรียบโล่ง โปร่ง สบายตา เนื่องจากห้องคอนโดนั้นมีพื้นที่จำกัด การตกแต่งจึงควรจะมีแนวทางที่อาจช่วยทำให้ห้องนั้นดูกว้าง สบาย ไม่อึดอัดมากขึ้น พยายามเปิดช่องรับแสงแดดจากภายนอกจะทำให้กว้าง มีมิติ สร้างความต่อเนื่องของพื้นที่ภายในห้อง โดยหลีกเลี่ยงการกั้นผนังทึบ หากจำเป็นก็อาจเลือกใช้วัสดุที่มันโปร่ง เช่น ฉากหรือม่านที่สามารถเลื่อนเปิดปิดได้ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่การใช้สอยได้ตามความเหมาะสม หรือเลือกใช้ชั้นวางของเตี้ยๆ เพื่อแบ่งพื้นที่การใช้สอยส่วนต่างๆ ในลักษณะ Low Partition ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ห้องนั้น ดูไม่ทึบและอึดอัด

       เทคนิคในการตกแต่งที่นิยมใช้กันมากอีกวิธีหนึ่ง ก็คือ การใช้วัสดุผิวที่มันวาว เช่น กระจกหรือสแตนเลส สร้างเงาสะท้อนของสิ่งต่างๆ เพื่อเพิ่มมิติให้กับพื้นที่ และยังช่วยให้พื้นที่ดูกว้างขวาง มี พื้นที่มากขึ้นอีกด้วย รวมถึงการเลือกใช้สีสำหรับการตกแต่งทั่วไป ควรจะมีสีโทนอ่อน จะทำให้ห้องดูโปร่งโล่ง สบายตายิ่งขึ้น

การเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์สำหรับตกแต่ง ควรจะมีลักษณะที่โปร่ง เบา มีขาขนาดเล็ก เช่น เหล็ก หรือ สแตนเลสสตีล ที่มีขนาดที่เหมาะสม จะทำให้ห้องนั้น ดูกว้างขึ้น หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่หนาหนัก และ มีขนาดใหญ่ คับห้อง จะทำให้ห้องดูแคบและอึดอัดไม่สบายตา
การใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นแบบเอนกประสงค์ หรือหนึ่งชิ้นใช้หลายหน้าที่ แทนการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีหลายชิ้น เช่น เตียงที่มีที่ช่องเก็บของซ่อนอยู่ด้านใน, โซฟาซึ่งออกแบบให้มีลิ้นชักที่เก็บของด้านล่าง หรือการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถยืด หด และพับเก็บ หรือมีล้อเลื่อน จะช่วยประหยัดเนื้อที่ได้มาก เพราะสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้อยางเหมาะสม เมื่อไม่ใช้งานก็นำไปเก็บโดยไม่เปลืองเนื้อที่
จัดการข้าวของรกกวนใจ

ความเป็นระเบียบเรียบร้อย จะทำให้ห้องคอนโดของคุณน่าอยู่ จึงควรจะมีที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ที่เพียงพอกับการเก็บของในคอนโดมิเนียม ควรใช้ตู้เก็บของ หรือ ตู้โชว์ ที่มีความลึกและ มีความยาวของตู้ที่เหมาะสม  จะดีกว่าการกั้นห้องทำเป็นห้องเก็บของ ซึ่งจะสิ้นเปลืองพื้นที่ใช้สอยมากกว่าในปริมาณการเก็บของที่มันเท่ากัน ทางที่ดีแล้วขอแนะว่าข้าวของชิ้นไหนที่ไม่จำเป็น ก็เอาไปจัดการซะ อาจนำไปรีไซเคิลเสียบ้าง เพื่อความน่าอยู่ของที่พักอาศัย
ระบายอากาศที่ดีเพื่อห้องพักน่าอยู่ เรื่องกลิ่นในห้องพักเป็นเรื่องสิ่งที่สำคัญ กลิ่นที่สะอาดไม่อับชื้น แสดงว่าห้องพักนั้นที่มีการระบายอากาศที่ดี จะเป็นห้องที่น่าอยู่ ส่วนกลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์นั้น มักจะมาจากการทำอาหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยสำหรับคนไทย ในการอาศัยอยู่ในคอนโดที่มีพื้นที่แสนจำกัดนั้น จะต้องมีการจัดเตรียมระบบปล่องดูดควันและการระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ การเลือกใช้วัสดุสำหรับการตกแต่งภายใน ก็ควรจะคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย  ว่าเราควรจะเลือกใช้วัสดุ ที่ไม่เก็บกลิ่นอับ ทำความสะอาดได้ง่าย เช่น วัสดุที่มีพื้นแข็ง เช่น พื้นไม้ พื้นกระเบื้อง หลีกเลี่ยงการใช้ พื้นพรม ส่วนในพื้นที่ที่ต่อเนื่องกับบริเวณ Pantry โต๊ะเก้าอี้ ควรใช้วัสดุจำพวกผ้าเท่าที่จำเป็น วัสดุจำพวกหนัง จะเช็ดทำความสะอาดได้ดีกว่า

       ด้วยเทคนิคง่ายๆ เหล่านี้ที่แนะนำมาข้างต้น หวังว่าคุณจะสนุกกับการตกแต่งพื้นที่เล็กๆอย่างคอนโดมิเนียม ในแบบที่เป็นตัวคุณ เพื่อให้ทุกวันเป็นวันแห่งความสุขและอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน



ที่มา Meedee

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

จัดสวนริมระเบียงคอนโดอย่างไรให้สวย

จัดสวนริมระเบียงคอนโดให้สวย

จัดสวนในคอนโดมิเนียมอย่างไรกับพื้นที่ที่มีเพียงน้อยนิดเป็นคำถามที่น่าสงสัย แต่หาคำตอบได้ไม่ยาก สำหรับวันนี้เราได้นำเคล็ดลับดีๆมาฝากกัน ที่จะแนะนำทุกคนทุกท่านให้สามารถจัดสวนในคอนโดหลังน้อย ได้เป็นอย่างดี และลงตัวง่ายๆกับเคล็ดลับเหล่านี้

เริ่มแรกก็สำรวจพื้นที่ของเราก่อน
         ตรวจสอบตำแหน่ง "ท่อระบายน้ำฝน" และวัดระดับของพื้นระเบียงว่าต่ำกว่าพื้นภายในห้องเท่าใดไว้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการจัดตำแหน่ง เพราะตำแหน่งของท่อระบายน้ำนั้น สัมพันธ์ต่อการจัดวางตำแหน่งของกระบะต้นไม้หรืออ่างเลี้ยงปลา ซึ่งควรจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับท่อระบายน้ำ เพื่อไม่ให้กีดขวางช่องระบายทางน้ำของระเบียง ไม่เช่นนั้น เราอาจต้องคอยแก้ปัญหาน้ำท่วมตอนทำสวนเสร็จแล้วก็เป็นได้

         ระเบียงส่วนใหญ่นั้น จะมีข้อจำกัดที่มักจะแคบและยาวรับน้ำหนักมาก ๆ ไม่ได้ บางครั้งก็มีชายคาเป็นตัวกำหนดความสูงของต้นไม้ที่ราจะนำมาปลูก  ระเบียงห้องยังเป็นทางผ่านของแสงธรรมชาติที่สามารถสาดส่องแสงเข้าห้องเราอีก หากปลูกต้นไม้มากจนเกินไป อาจบังแสงทำให้ห้องมืด การจัดสวนระเบียงจึงต้องจัดให้พอดีกับขนาดพื้นที่ ไม่ควรเลือกต้นไม้ที่กินพื้นที่มากเกินไป ควรจะกำหนดรูปแบบการใช้งานให้ชัดเจน ว่าจะใช้นั่งนอนเอกขเนก หรือจะไว้แค่ชมวิวชั่วครั้งคราว หรือไม่ก็เอาไว้ชื่นชมความงามภายในห้อง เพื่อให้สวนของเราได้ตอบสนองความต้องการ สวนในพื้นที่ขนาดเล็กไม่ควรมีจุดเด่นที่มากเกินไปในสวน เพราะจะทำให้ดูเลอะเทอะ ซ้ำยังบั่นทอนความสวยงามของสวนให้ลดลงอีกด้วย

ข้อจำกัดของพื้นที่แนวราบน้ำ
         มีวิธีที่น่าสนใจโดยเลือกใช้ "พื้นที่แนวตั้ง" คือ พื้นที่ผนังกั้นระหว่างระเบียงของเรากับเพื่อนบ้านข้างเคียง อาจเลือกใช้ไม้ฝาสังเคราะห์ หรือกรุกระเบื้องแบบหินธรรมชาติ หรืออาจจะตีไม้ระแนงเว้นร่องก็ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับผนังได้ไม่น้อย การเลือกใช้วัดสุที่ดูเป็นธรรมชาตินี้ก็จะช่วยให้สวนของเรามีบรรยากาศที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น ยามเราเหนื่อยล้า พื้นที่ส่วนนี้เราสามารถติดตั้งชั้นวางที่ขนาดและสัดส่วนพอเหมาะกับผนัง ขนาดของชั้นควรกว้างประมาณ 15 – 20 ซม. สำหรับวางต้นไม้กระถางเล็ก ๆ หรือของตกแต่งดินเผาน่ารัก ๆ ก็ได้

พื้นระเบียง
         สำหรับพื้นระเบียงนั้น อาจจะเลือกใช้พื้นไม้หรือแผ่นพื้นไม้สำเร็จรูปก็มีให้เลือกใช้มากมาย หากเลือกใช้ไม้พื้นก็ต้องวางต้นไม้เหนือบริเวณพื้นก่อนที่จะปูไม้พื้นลงไป ให้ระยะห่างระหว่างตรงแต่ละตัวประมาณ 50 ซม. เพื่อระบายน้ำฝน ส่วนความหนาของไม้พื้นก็มักอยู่ที่ 1 – 1.5 นิ้ว แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยากอาจเลือกใช้แผ่นไม้พื้นสำเร็จรูปก็ได้ แต่ถ้าไม่ชอบไม้กระเบื้องดินเผาก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ การปูพื้นไม่จำเป็นที่จะต้องปูเต็มพื้นที่จะเว้นช่องไว้โรยกรวดบ้างก็ได้ ยิ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายด้วยการเล่นวัสดุ แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด คือ เมื่อปูพื้นแล้วพื้นระเบียงมันไม่ควรจะสูงมากกว่าพื้นภายในห้อง มิฉะนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาน้ำฝนไหลเข้าห้องได้เวลาฝนตก

เลือกต้นไม้
         ก่อนที่จะปลูกต้นอะไร เราต้องรู้ก่อนว่าระเบียงของเรานั้น มีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร หากระเบียงของเราได้รับแดดไม่เต็มวัน ก็ต้องเลือกต้นไม้ที่สามารถอยู่รอดได้จำพวกไม้ทนร่ม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไม้ใบชนิดต่าง ๆ เช่น เฟิร์น จั๋ง สาวน้อยประแป้ง เดหลี ฯลฯ แต่ในทางกลับกันนั้น หากระเบียงของเราได้แดดแบบเต็ม ๆ ก็ต้องเลือกไม้ที่ทนแดดได้ดี และไม่ควรเลือกต้นไม้ที่มีใบขนาดใหญ่มากเกินไป เพราะนอกจากจะกินพื้นที่แล้วของระเบียงแล้ว ลมบนตึกสูงจะพัดทำให้ใบฉีกขาดอีกด้วย แนะนำไม้ที่สามารถตัดแต่งพุ่มได้อย่างแก้ว หรือชาปัตตาเวียก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับสวนระเบียง ในพื้นที่เดียวกัน สวนจะน่าสนใจถ้าหากคุณเลือกพันธุ์ไม้ที่แตกต่างกันทั้งไม้ทรงสูง ไม้พุ่มขนาดกลาง และไม้คลุมดินเพื่อเลียนแบบลักษณะในธรรมชาติที่มีความหลากหลาย แต่ในความต่างนี้ต้องคำนึงถึงลักษณะพันธุ์ไม้ด้วย ให้มีลักษณะเดียวกัน หรือคล้ายกันอยู่ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการดูแล ลักษณะพันธุ์ไม้แบ่งได้ดังนี้ ไม้ที่ชอบแสงรำไร ไม้น้ำ ไม้ชอบแสงแดด ไม้อวบน้ำ และกล้วยไม้
เตรียมต้นไม้ก่อนปลูก
         เมื่อเลือกซื้อต้นไม้ได้แล้ว ต้นไม้ที่ซื้อมาใหม่ ๆ ยังไม่ควรนำมาปลูกทันที แต่ควรช่วยต้นไม้ตั้งตัวได้ซะก่อน โดยการนำออกจากถุงดำหรือกระถางมาพักไว้ในที่มีแดดรำไรสักหนึ่งคืน รดน้ำให้ชุ่มแล้วค่อยนำไปปลูกในกระถางในวันถัดไป ต้นไม้ที่มาจากร้านค้าส่วนใหญ่ ถูกปลุกในวัสดุเพราะชำมากกว่าปลูกในดิน ดังนั้น เมื่อเราจะปลูกลงกระถางก็ควรจะเปลี่ยนมาปลูกในดินที่เหมาะกับชนิดของ ต้นไม้ใหม่ทุกครั้ง

จัดวางต้นไม้ให้สวย
         การจัดวางที่เหมาะสม กับความสูงที่ลดหลั่นกัน ด้านหลังวางต้นไม้สูง ด้านหน้าวางต้นเตี้ยเหมือนกับธรรมชาติ ช่วยเพิ่มมิติในการมองบรรยากาศ การเรียงไม้กระถางที่อยู่ริมกระบะหรือชิดขอบกับทางเดินให้เอียงเล็กน้อย กิ่ง ก้าน ใบที่ยื่นล้ำออกมาจากแนวขอบจะทำให้สวนของเราดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น กระถางที่เลือกใช้ในการจัดสวนจะเลือกแบบเรียบ ๆ ควรจะมีสีเดียวอย่างดินเผาเพื่อพรางตัวของกระถางไม่ให้ดูเด่นสะดุดตาหรือก่อกระบะต้นไม้ จากอิฐบล็อกประสาน , อิฐมอญ หรือไม่หมอนเพื่อพรางสายตาก็ได้ แต่ในกลับกันแทนที่เราจะวางกระถางหลบ ๆ เราสามารถสร้างความต่างจากกระถางที่เลือกใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง สีสัน หรือวัสดุที่แตกต่างกันเมื่อนำมาอยู่รวมกันจะสร้างความน่าสนใจ สำหรับมือใหม่หัดจัดสวนอย่างเรา ๆ การเลือกโทนสีแค่ 2 – 3 สี น่าจะช่วยป้องกันไม่ให้สีในสวนของเราเลอะเทอะเกินไป

ที่มา : cmc.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บัญญัติ 7 ประการของชาวคอนโด

ข้อบัญญัติ 7 ประการของชาวคอนโด

        หลายคนอาจจะคิดว่า การอยู่คอนโดนั้นเป็นอิสระ ส่วนตัวดี ห้องใครห้องมัน ปิดประตูใส่กลอนล็อคกุญแจ รูดผ้าม่านหน้าต่างปิดมิด กันสายตาที่สอดรู้สอดเห็น ที่นี้คุณจะทำอะไรก็ได้ จะหกคะเมนตีลังกาใส่ผ้าหรือถอดผ้า แต่อาจจะมีบางคนไม่รู้เลยว่า ถ้าหากอยู่บ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์ แล้วค้างค่าน้ำค่าไฟ ก็จะถูกตัดน้ำตัดไฟ หรือโทรศัพท์ก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าคุณอยู่คอนโดมิเนียมอาจจะหนักกว่านี้ คือไม่เพียงถูกตัดน้ำตัดไฟ อาจจะถูกล็อคห้องไม่ให้คุณนั้นเข้าไปใช้ประโยชนอีกด้วย และนี่เป็นเรื่องจริง ที่ทางนิติบุคคลอาคารชุด ได้มีสิทธิตามกฎหมายที่จะทำ และเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น แล้วถ้าหากถึงที่สุดแล้ว ทางนิติบุคคลอาคารชุดจะเข้ามายึดทรัพย์ในห้องชุดไปขายหรือกระทั่งการบังคับขายห้องชุดห้องใดห้องหนึ่งเพื่อชำระหนี้ยังอยู่ในขอบข่ายอำนาจทางกฎหมายที่นิติบุคคลอาคารชุดมีสิทธิทำได้อีกด้วย โอ้โห!ไหงเป็นอย่างงั้นได้

        คุณต้องอาศัยศึกษาข้อกฎหมายบ้าง มาดู ก่อนอื่นพึงรู้ว่า การอยู่อาศัยในอาคารห้องชุดหรือคอนโดมิเนียมนั้น มีกฎหมายหลักที่เกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 กฎหมายนี้ได้กำหนดเรื่องราวของนิติบุคคลอาคารชุดไว้รอบด้านเลยทีเดียว

  • การเป็นเจ้าของร่วมกัน
  • ความรับผิดชอบร่วมกัน
  • การบริหารจัดการ
  • อำนาจและบทบาทของผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด
  • ระเบียบพื้นฐานที่คนคอนโดฯ ต้องทำตาม
  • อำนาจบังคับชำระหนี้
  • คนอยู่คอนโดฯ ใจต้องโตกว่าตึก


ชีวิตของคนคอนโด ต้อง "โตแล้ว" ซึ่งความหมาย คือ ต้องสามารถบังคับใจของตนเองให้อยู่ในกฎระเบียบ เพื่อส่วนรวมเป็นเบื้องต้น และให้ความร่วมมือกับส่วนรวม เพื่อโน้มน้าวชักชวนเพื่อนร่วมคอนโดฯเดียวกันให้ปฏิบัติเพื่อส่วนรวม อันหมายถึง การปฏิบัติทำตามข้อกำหนดของอาคารชุดอย่างครบถ้วน

ประโยชน์ที่ได้รับคือ ความผาสุกของชาวคอนโด และความเจริญของตัวอาคาร และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ภายในโครงการที่เป็นทรัพย์สินส่วนกลางหรือสมบัติร่วมกัน ควรระลึกถึงก่อนและหลังเข้าไปอยู่คอนโดก็คือ "อยู่ตึกคอนโดฯ ใจต้องโตกว่าตึก"

บัญญัติ 7 ประการของชาวคอนโด

จุดเริ่มต้นก็คือ
        การที่เข้ามาเป็นเจ้าของร่วมกัน นั่นคือผู้อยู่อาศัยภายในคอนโด นอกจากเป็นเจ้าของห้องชุดที่ซื้อแล้ว ยังจะเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์สินส่วนกลางต่าง ๆ อีกด้วย

"มาตรา 14 กรรมสิทธิ์ส่วนที่เป็นเจ้าของร่วมกันในทรัพย์ส่วนกลาง ให้เป็นไปตามอัตราส่วนระหว่างราคาของห้องชุดกับราคารวมของห้องชุดทั้งหมดนั้นในขณะที่ขอจดทะเบียนอาคารชุด"

อันดับที่ 2
        ความรับผิดชอบ การเป็นเจ้าของมักจะมาควบคู่กับความรับผิดชอบเสมอ ไม่ว่าจะเป็นห้องชุดหรือการถือสิทธิ์การเป็นเจ้าของ "ผู้หญิงของผม" หรือ "ผู้ชายของฉัน" กฎหมายนี้กำหนดให้มีสิทธิ์เป็นเจ้าของร่วมกันในทรัพย์ส่วนกลาง และก็กำหนดความรับผิดชอบมาพร้อมกัน

"มาตรา 18 เจ้าของร่วมก็ต้องร่วมกันออกค่าใช้จ่าย ที่เกิดจากการบริการส่วนรวม และที่เกิดจากเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตามส่วนของการใช้ประโยชน์ที่มีต่อห้องชุด ทั้งนี้ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับข้างต้น เจ้าของร่วมก็ต้องร่วมกันออกค่าภาษีอากร และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลและดำเนินการที่เกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนกลางตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนได้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา14"

อันดับที่ 3
        การบริหารและจัดการ ในทางปฏิบัตินั้นย่อมไม่ได้เรื่อง ถ้าให้ผู้ซื้อห้องชุดต้องมาบริหารจัดการในเรื่องต่างๆ ตามมาตรา 18 เอง ดังนั้นจึงต้องให้นิติบุคคลมาจัดการในเรื่องต่างๆนั้น และต้องให้อำนาจตามที่ควรจะเป็น อาทิ

"มาตรา 33 นิติบุคคลอาคารชุดที่ได้มีการจดทะเบียนตามมาตรา 31 ให้มีฐานะสิทธิเป็นนิติบุคคล นิติบุคคลอาคารชุดจะมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการ และดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนกลาง และให้มีอำนาจกระทำสิ่งใด ๆ เพื่อเป็นประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ทั้งนี้แล้วตามมติของเจ้าของร่วมภายใต้การบังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้"

อันดับที่ 4
        อำนาจและบทบาทหน้าที่ของผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด นิติบุคคลอาคารชุดจะต้องมีคนบริหารจัดการ เรียกว่า "ผู้จัดการ" ผู้จัดการคนนี้มีอำนาจมากทีเดียวล่ะ

"มาตรา 35 ให้นิติบุคคลอาคารชุด มีผู้จัดการคนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นบุคคลธรรมดา เจ้าของอาคารหรือนิติบุคคลก็ได้ ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้จัดการ ให้นิติบุคคลนั้นแต่งตั้งบุคคลธรรมดาคนหนึ่งเป็นผู้ดำเนินการ แทนนิติบุคคลในฐานะผู้จัดการ"

มาตรา 36 ผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(1) ปฏิบัติการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในมาตรา 33 หรือ มติของที่ประชุมเจ้าของร่วม หรือคณะกรรมการนั้นตามมาตรา 37 ทั้งนี้ โดยไม่ขัดต่อข้อบังคับ
(2) ในกรณีจำเป็นและเร่งด่วน ให้ผู้จัดการที่มีอำนาจ โดยความริเริ่มของตนเองจัดการในกิจการ เพื่อความปลอดภัยของตัวอาคาร ดังเช่นวิญญูชนจะพึงรักษาและจัดการทรัพย์สินของตนเอง
(3) เป็นผู้แทนของนิติบุคคลอาคารชุด
(4) หน้าที่อื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ผู้จัดการต้องปฏิบัติกิจการในหน้าที่ด้วยตนเอง เว้นแต่กิจการ ซึ่งตามข้อบังคับหรือมติของที่ประชุมเจ้าของร่วมตามมาตรา 48 (3) กำหนดให้มอบหมายให้ผู้อื่นทำ แทนได้

อันดับที่ 5
        ระเบียบพื้นฐานที่คนคอนโด ต้องทำตาม รักจะอยู่อาคารชุดก็ต้องเคารพระเบียบกฎเกณฑ์ของอาคารชุด ซึ่งมีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย ตั้งแต่ระบุไว้ใน พ.ร.บ. อาคารชุด หรืออยู่ในระเบียบนิติบุคคลอาคารชุด อาทิเช่น

"มาตรา 40 ให้เจ้าของร่วมชำระเงินให้แก่นิติบุคคลอาคารชุดเพื่อดำเนินกิจการของนิติบุคคลอาคารชุด ดังต่อไปนี้ (1) เงินค่าใช้จ่ายของนิติบุคคลอาคารชุดที่เจ้าของแต่ละห้องชุดจะต้องชำระล่วงหน้า (2) เงินทุนเมื่อเริ่มต้นกระทำกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งตามข้อบังคับ หรือตามมติของที่ประชุมใหญ่ (3) เงินอื่นเพื่อปฏิบัติตามมติของที่ประชุมใหญ่ ภายใต้เงื่อนไขซึ่งที่ประชุมใหญ่กำหนด"

อันดับที่ 6
        อำนาจบังคับชำระหนี้ เพื่อป้องกันและแก้ไขการไม่ให้ความร่วมมือในการออกค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนกลาง กฎหมายอาคารชุดได้ให้อำนาจนิติบุคคลอาคารชุดไว้แล้ว และอย่าลืมว่า ผู้จัดการฯ มักจะเป็นผู้ใช้อำนาจนั้น

"มาตรา 41 เพื่อประโยชน์ในการบังคับชำระหนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 ให้นิติบุคคลอาคาร ชุดมีบุริมสิทธิ ดังนี้
(1) บุริมสิทธิเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นบุริมสิทธิในลำดับเดียวกับ บุริมสิทธิตามมาตรา 259 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์ที่เจ้าของห้องชุดนั้นนำมาไว้ในห้องชุดของตน
(2) บุริมสิทธิเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายตามมาตรา 18 วรรคสอง ให้ถือว่าเป็นบุริมสิทธิในลำดับเดียวกับ บุริมสิทธิตามมาตรา 273 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และมีอยู่เหนือทรัพย์ส่วนบุคคล ของแต่ละเจ้าของห้องชุด บุริมสิทธิตาม (2) ถ้าผู้จัดการได้ส่งรายการหนี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วให้ถือว่าอยู่ในลำดับก่อน จำนอง"

ขยายความให้ชัดเจนก็คือนิติบุคคลอาคารชุดมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่าง ๆ ในห้องชุดเหนือกว่าเจ้าของห้องชุดแต่ละห้องด้วยซ้ำ และเหนือกว่าเจ้าหนี้ทุกราย  อำนาจเช่นนี้แหละ ที่เอื้อให้นิติบุคคลอาคารชุดในทางปฏิบัติก็คือ ผู้จัดการอาคารชุดสามารถ "บังคับ" เจ้าของอาคารชุด ให้รับผิดชอบภาระหน้าที่ของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินค่าบำรุงส่วนกลาง การจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์และอื่น ๆ ทั้งนี้โดยมีคณะกรรมการควบคุมการจัดการนิติบุคคลอาคารชุดดูแล โดยมีการประชุมใหญ่ หรือประชุมเจ้าของร่วมทั้งหมดหนุนหลังในขั้นสุดท้าย และเมื่อพิจารณาลักษณะการประชุมใหญ่แล้ว ก็สามารถสนับสนุนการ "บังคับ" ต่าง ๆ ได้

อันดับที่ 7
        คนอยู่คอนโดใจต้องโตกว่าตึก ว่าไปแล้วปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมสูงระฟ้า และการแก้ไขปัญหาไม่ใช่อยู่ที่นิติบุคคลอาคารชุด และผู้จัดการอาคารชุดมีอำนาจตามกฎหมายหรือไม่ แต่อยู่ที่มีศักยภาพทำให้อำนาจนั้นมีผลบังคับหรือไม่ หรือว่าไปแล้วปัญหาอยู่ที่ ผู้คนที่อาศัยในอาคารชุดใหญ่โตโอฬาริกนั้น มีวุฒิภาวะมากพอหรือโตพอแล้วหรือยัง ความผาสุขของชุมชนระฟ้าจะสมบูรณ์สวยงาม หรือขาดวิ่นเว้าแหว่งก็ขึ้นอยู่กับคนในคอนโด เองว่าจะทำตาม "บัญญัติ 7 ประการ" นี้หรือไม่ ทั้งนี้มี ใจที่โตพอ รับผิดชอบและเสียสละพอเป็นแกนกลาง

ติดตามข่าวสารของคอนโด โครงการคอนโดใหม่ได้ที่  http://home.sanook.com/6559/
ขอบคุณข้อมูลดีที่เอามาแชร์ จาก : cmc.co.th
ที่มา : propertytothai

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เคล็ดลับแนะนำก่อนซื้อบ้าน - คอนโดหลังแรก

 ข้อแนะนำ ก่อนซื้อบ้าน คอนโดหลังแรก

              ข้อมูลบางส่วนของไมเคิล ไอเซนเบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินส่วนบุคคล จากเว็บไซต์ฟิเดลิตี้ กองทุนใหญ่อันดับหนึ่งของสหรัฐ ในหัวเรื่อง "เคล็ดลับแนะนำผู้บริโภคซื้อบ้านหลังแรก" เพื่อช่วยให้คนไทยที่อยากซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมหลังแรกเพื่อไว้เป็นของตัวเอง โดยฉบับนี้ไอเซนเบิร์กนั้น ยังมีคำแนะนำอีกส่วนหนึ่งที่เหลือ มาฝากให้กับคนไทยทั้งในและต่างประเทศได้นำข้อมูลของเขา ไว้ไปประยุกต์ใช้ได้ เพื่อตั้งข้อสังเกตให้คำนึงฉุกคิด และผู้ที่เริ่มต้นจากพื้นฐานไม่มีความแน่ใจเลย หรือไม่รู้อะไรเลย และต้องใคร่ครวญสังเกตให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจซื้อบ้าน

1. "ต้องมีเงินออมเผื่อฉุกเฉิน" เป็นอีกไอเดียหนึ่งที่เตือนใจก่อนให้ความเห็นในแง่บวกของไอเซนเบิร์กที่ว่า หากคุณมีเงินสดอยู่ในมือเพียงพอแล้ว ที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตนาน 3-6 เดือน นั่นหมายถึงการที่ได้ก้าวเข้าใปใกล้สถานะเตรียมตัวเป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดได้แล้ว แต่ไอเซนเบิร์ก ก็ขอให้ผู้บริโภคคนไทย นึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่ดี ที่จะทำให้รายได้ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องนั้น เกิดสะดุดติดขัด เช่น กรณีเจ็บป่วยรุนแรง การปลดพนักงาน หรือแม้แต่หายนะภัย ซึ่งเป็นเหตุไม่คาดฝัน ทำให้คุณไม่สามารถทำงานและหารายได้ตามปกติ คุณต้องแน่ใจก่อนว่านะว่ายังมีเงินรองรัง ช่วยให้การชำระหนี้เพื่อที่อยู่อาศัยไม่สะดุด และสามารถผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากไปได้

2. "สามารถควบคุมหนี้ไม่ให้บานปลายได้" บรรดาสถาบันการเงินต่างๆ ที่เป็นเจ้าหนี้ปล่อยกู้ทุกวันนี้ เครือข่ายมีระบบที่สร้างความมั่นใจได้ว่า ลูกหนี้หรือผู้ซื้อบ้านต้องการเงินกู้ มีเงินเพียงพอแต่ละเดือนเพื่อชำระหนี้ ดังนั้น ก่อนที่บรรดาธนาคารหรือสถาบันการเงินแหล่งอื่นเป็นเจ้าหนี้อนุมัติสินเชื่อให้ ลูกหนี้ ต้องพิจารณาสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ของผู้กู้เสียก่อน แต่โดยทั่วไปแล้ว ไอเซนเบิร์กต้องการให้ลูกหนี้นั้น ประเมินตัวเองเสียก่อน เพื่อให้แน่ใจได้ว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนเฉพาะบ้านหรือคอนโด ซึ่งรวมถึงเงินโอน ดอกเบี้ยกับภาษีอีกทั้งเงินประกันภัย หากรวมแล้วต้องไม่มากเกินกว่า 33% ของรายได้รวมในแต่ละเดือน ขณะที่ภาระหนี้ที่ต้องผ่อนในแต่ละเดือน ซึ่งหนี้เหล่านี้รวมถึงหนี้ที่ต้องผ่อนบ้าน หนี้บัตรเครดิต หนี้เพื่อการศึกษา และหนี้ต้องผ่อนชำระค่ารถยนต์ ต้องต่ำกว่า 38% ของค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ดังนั้นเป็นไอเดียที่ดีกว่า หากผู้คิดจะซื้อบ้าน ซึ่งเดิมมีหนี้ก้อนใหญ่จะพยายามลดมูลหนี้ให้น้อยลง ก่อนตัดสินใจขอสินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์ และต้องมั่นใจก่อนว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะขอเงินกู้ได้มากตามความ จำเป็น

3. "แน่ใจได้หรือยังประวัติเครดิตขอสินเชื่อไม่มีปัญหา" ในต่างประเทศ ณ ตอนนี้ ผู้ขอกู้ซื้อที่อยู่อาศัย ไม่จำเป็นจะต้องมีประวัติการขอสินเชื่อที่ดี 100% เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับอนุมัติเงินกู้ซื้อบ้าน แต่แค่มีประวัติการเงินพอใช้หรือผ่านได้ก็สามารถช่วยให้ผู้ขอกู้ ได้ดอกเบี้ยที่ต้องผ่อนค่าชำระลดลง และจำนวนเงินที่ต้องผ่อนในแต่ละเดือน ผ่อนได้น้อยลงด้วย ในประเทศสหรัฐ คนไทยที่พักอยู่ ก็ได้รับการช่วยเหลือจากทางภาครัฐ ให้ตรวจสอบประวัติทางการเงินของตัวเองได้ทุกปีจากเว็บไซต์ annualcreditreport.com โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิน โดยข้อมูลที่เข้าไปตรวจสอบเป็นข้อมูลที่ได้จากเครดิตบูโรสำคัญ 3 แห่ง ดังนั้น ผู้บริโภคที่อยากจะขอกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัยนั้น ก็สามารถเข้าไปดูข้อมูลซึ่งบรรดาสถาบันทางการเงิน ก็ใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบเช่นกัน ก่อนที่จะตัดสินใจให้เงินกู้ คำแนะนำในข้อนี้จะช่วยให้ผู้ขอกู้ เพิ่มความระมัดระวังในการขอสินเชื่อของตัวเอง ซึ่งอาจมีผลต่อให้ การตัดสินใจของผู้ให้กู้ได้

4. "ซื้อที่อยู่อาศัยควรถือครองสิทธิไว้ให้นานที่สุด" ข้อนี้เป็นการเตือนใจให้ผู้คิดที่จะซื้อบ้านหรือคอนโดว่า พร้อมหรือทำใจยังว่าการมีบ้านหรือคอนโดเป็นของตัวเอง ควรจะอยู่ให้นานอย่างน้อย 3-5 ปีได้หรือไม่ และต้องคำนึงถึงระยะเวลาด้วยว่า จะทำที่พักอาศัยให้เรียบร้อยลงตัว ก่อนที่คิดจะทำธุรกรรมขายต่อได้หรือไม่ เพราะถ้าขายก่อนเวลาอันสมควร ผู้ซื้ออาจจะขาดทุนจากธุรกรรมได้ ในต่างประเทศอย่างประเทศสหรัฐอเมริกา หากผู้ซื้อคิดหาทำกำไรกลับคืนจากการซื้อที่อยู่อาศัย เจ้าของบ้านนั้นจะต้องจ่ายภาษีจากกำไรที่ขายได้ แต่หากพักอาศัยอยู่ในบ้านไม่ถึง 2 ปี ระยะเวลาในการพักอาศัยจึงสำคัญมาก และถ้าคิดว่าตัวเองไม่สามารถพักอาศัยได้นาน ผู้ซื้ออาจจะคิดอีกทางหนึ่งคือซื้อเพื่อธุรกิจให้เช่าจะดีกว่า

5. "ฉลาดเตรียมตัวที่จะเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์" ไอเซนเบิร์กได้พูดเตือนว่า แม้คุณนั้นสามารถซื้อหรือเป็นเจ้าของที่พักอาศัยได้ แต่อย่าตัดสินใจง่ายๆ เพียงเพราะมีแค่ศักยภาพการเงินที่จะซื้อ แต่ขอให้แน่ใจก่อนว่าพร้อมที่จะใช้ชีวิต และสามารถดูแลรักษาบำรุงสถานที่อยู่อาศัยได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ในเมื่อการเป็นเจ้าของที่พักอาศัย หากเกิดชำรุดเสียหาย ผู้ซื้อหรือเจ้าของต้องเป็นคนจัดการ และต้องจ่ายเงินให้ช่างซ่อมแซมแทน นอกจากนี้เจ้าของหรือผู้ซื้อ ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายการดูแลบ้านเป็นประจำอีกด้วย ซึ่งรวมถึงงานบำรุงรักษาบ้านหลังเล็กๆ ของคุณ ในกรณีที่คุณซื้อที่พักอาศัยในต่างประเทศ ขอให้นึกถึงอนาคตหลังการซื้อว่า มีเวลากับพลังและความมุ่งมั่นที่จะดูแลอสังหาริมทรัพย์ของตัวเองอย่างจริงจังหรือไม่

6. "ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม" คือคำแนะนำสุดท้ายที่ไอเซนเบิร์กอยากให้คนไทยในสหรัฐ เข้าไปตรวจสอบหาข้อมูลเพิ่มเติมได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย จากเว็บไซต์  360financialliteracy.org ของ American Institute of Certified Public Accountants' หรือ เอไอซีพีเอ โดยคุณสามารถเข้าไปในเว็บไซต์ข้างต้น เพื่อดูประเด็นและหัวข้อเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคลของคุณ เพื่อหาข้อมูลหรือทางเลือก ที่จะช่วยจัดการบริหารทางการเงินของตัวเองได้ สำหรับเวบไซต์ของเอไอซีพีเอนั้นรวบรวมบทความ วิธีการคำน  วณ และเครื่องมืออื่นๆ ที่ช่วยให้คนไทยในสหรัฐและในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รอบคอบและระวังทุกๆ ด้าน ก่อนตัดสินใจควักเงินซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกในชีวิตของตัวเอง


ขอบคุณ : cmc.co.th
บทความจาก : thaihomemasterm
โดย ดร.ศุภวิศวร์ ปัญญาสกุลวงศ์ และ คุณกฤษณ์ แย้มสระโส

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ข้อมูลการกู้ซื้อบ้าน / คอนโดของธนาคาร

วงเงินกู้ของธนาคารนั้นที่แต่ละคนจะได้รับขึ้นอยู่กับปัจจัย อะไรบ้าง


คนที่ทำธุรกิจส่วนใหญ่ มักจะคุ้นเคยกับคำว่า วงเงินกู้ (Loan) เป็นอย่างดี ซึ่งการที่จะกู้เงินจากธนาคารได้นั้นกิจการจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน อีกทั้งต้องระบุว่า วงเงินที่ต้องการใช้ ระยะเวลาจ่ายชำระคืน และที่สำคัญคือต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกันวงเงินกู้ให้กับธนาคาร เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร เป็นต้น ข้อมูลวงเงินกู้ของธนาคาร วงเงินนั้นที่แต่ละคนจะได้รับจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยสามารถแบ่งออกได้ดังนี้

1. อัตราเงินเดือนและภาระหนี้สิน ค่าโดยประมาณจะได้ 50 เท่าของเงินเดือน เช่น ถ้าเงินเดือน 20,000 และไม่มีภาระหนี้สินใดๆ วงเงินกู้ที่ได้่จะประมาณ 1,000,000 (20,000 x 50 เท่า) แต่ถ้าคุณมีผ่อนอะไรอยู่ก็จะหักจากเงินเดือนก่อนแล้วค่อยคูณด้วย 50

บางคนที่มีเงินโอทีหรือเงินรายได้พิเศษนอกเหนือไปจากเงินเดือนประจำ บางธนาคารก็ไม่เอามาคิด บางธนาคารก็เอามาคิดแค่ 50% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎและนโยบายของแต่ละธนาคาร ซึ่งคนกู้จะต้องเช็คกับทางธนาคารอีกที

จำนวนวงเงินกู้ อาจได้มากหรือน้อยกว่า 50 เท่า ขึ้นอยู่กับเครดิตของผู้กู้ ความมั่นคงของภาระหน้าที่การงาน และประวัติการชำระหนี้อื่นๆ ก่อนหน้านี้ ส่วนผู้กู้ที่ทำงานบริษัทที่มีสวัสดิการกู้ซื้อบ้านกับทางธนาคาร ธนาคารมักปล่อยกู้ง่ายและให้จำนวนวงเงินมากกว่าปกติ

2. ราคาประเมินบ้านหรือคอนโดมิเนียมของทางธนาคาร ราคาประเมินที่กล่าวถึง ทางธนาคารจะส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจบ้านที่เราจะซื้อและประเมินราคา พวกบ้านหรือคอนโดใหม่ บางธนาคารให้กู้เต็มราคาประเมิน ส่วนพวกประกาศขายบ้าน / คอนโดมือสอง บางธนาคารก็ให้กู้เต็ม แต่ส่วนมากมักให้แค่ 80% ของราคาประเมินธนาคาร อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละธนาคารที่มีอยู่ ทั้งนี้ถ้าได้ราคาประเมินบ้านสูงกว่าฐานของเงินเดือนตามข้อที่ 1 คุณก็กู้ได้สูงสุดตามข้อ 1 และถ้าราคาประเมินบ้านต่ำกว่าวงเงินตามฐานเงินเดือนในข้อที่ 1 คุณก็กู้ได้สูงสุดตามราคาประเมินบ้าน

3. อายุของผู้กู้ ธนาคารส่วนมากให้ผู้กู้สามารถชำระหนี้ได้จนถึงอายุ 60 บางธนาคารอาจถึง 65 ดังนั้นถ้าคุณอายุเยอะ จำนวนปีในการชำระหนี้จะน้อย ซึ่งก็หมายความว่าค่าผ่อนชำระหนี้ในแต่ละเดือนนั้นจะสูง เช่น อายุ 55 ขอกู้เงิน 3,000,000 ซึ่งคุณจะสามารถผ่อนได้แค่ห้าปี ดังนั้นจำนวนเงินผ่อนแต่ละเดือนจะสูงมาก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วธนาคารจะให้ผ่อนได้ไม่เกินประมาณ 40% ของเงินเดือน ถ้าหากเกิน ธนาคารก็จะลดวงเงินกู้คุณลง

ผู้กู้สามารถกู้เพิ่มเป็นค่าตกแต่งได้อีกประมาณ 10% ของวงเงินกู้บ้านที่ทางธนาคารอนุมัติให้ เช่นถ้าแบงค์อนุมัติวงเงินกู้ซื้อบ้านให้คุณที่หนึ่งล้านบาท คุณสามารถกู้เพื่อตกแต่งเพิ่มได้อีกจำนวนหนึ่งแสนบาท แต่อัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ตกแต่งจะสูงกว่าเงินกู้ซื้อบ้าน

ข้อกำหนดดังกล่าวนั้นไม่ได้ตายตัว ธนาคารแต่ละแห่งก็จะมีข้อพิจารณาที่แตกต่างกัน ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงแนวทางคร่าวๆ ทั้งนี้ผู้กู้ควรติดต่อถามเจ้าหน้าที่สินเชื่อของแต่ละธนาคารจะดีที่สุด หรือโทรไปตามที่ Call Center ที่มีบริการในแต่ละธนาคารก่อนก็ได้ ทางเจ้าหน้าที่สามารถให้ข้อมูลคร่าวๆ ได้เช่นกันค่ะ

คำแนะนำ:

1. คนที่อยากมีบ้านหรือคอนโด แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ขอให้เริ่มจากการประเมินวงเงินกู้ของตนเองก่อนว่าธนาคารจะปล่อยกู้ให้คุณได้เท่าไหร่ คุณสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อแต่ละธนาคาร (แนะนำให้ติดต่อกับธนาคารที่่คุณมีบัญชีเงินเดือนหรือธนาคารที่บริษัทคุณมีสวัสดิการก่อน เพราะธนาคารพวกนี้จะสามารถเช็คข้อมูลของคุณได้ง่ายจากบัญชีของคุณ และความเป็นไปได้ในการได้รับอนุมัติก็จะมีมากกว่าธนาคารที่คุณไม่เคยเป็นลูกค้ามาก่อนเลย) เราสามารถเช็คหลายๆธนาคารได้พร้อมกัน เป็นแค่ขั้นตอนของ การขอข้อมูลจากธนาคาร ไม่ได้ทำเรื่องกู้

2. หลังจากทราบวงเงินที่คุณสามารถกู้ได้ ก็ค่อยไปมองหาดูบ้านหรือคอนโดที่อยู่ในงบของคุณ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปดูบ้านหรือคอนโโที่มันแพงๆ แล้วมารู้ที่หลังว่าคุณกู้ไม่ผ่านเพราะบ้านแพงไป

3. อย่าซื้อบ้านหรือคอนโดเกินกำลังและฐานะของตนเองมากเกินไป เพราะถ้าคุณกู้สูงๆ แล้วค่าผ่อนต่อเดือนมันก็จะเยอะมาก อย่าลืมนึกถึงค่าตกแต่งที่จะตามมาอีกมากมาย รวมถึงเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินที่เราต้องใช้เงิน เช่น เจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันที่ต้องการใช้เงิน ถ้าอยากผ่อนแบบไม่หนักมาก ควรผ่อนแค่ประมาณ 30% ของเงินเดือน

4. ให้เลือกระยะปีในการผ่อนให้นานที่สุด ถ้าสามารถเลือกแบบ 30 ปี ก็เลือกแบบ 30 ปีไปก่อน เวลามีเงินคุณก็ค่อยเอาไปโปะเรื่อยๆ เพราะการเลือกระยะเวลาผ่อนที่นาน จะทำให้ค่าผ่อนที่ต้องจ่ายต่อเดือนไม่มาก เช่นถ้าคุณกู้ 1,000,000 บาท เลือกผ่อน 30 ปี คุณต้องจ่ายต่อเดือนประมาณ 6,000 บาท แต่ถ้าคุณเลือกผ่อนที่ 10 ปี คุณต้องจ่ายต่อเดือนประมาณ 11,000 บาท คุณเลือกแบบ 30 ปี แล้วค่อยๆ เอาเงินไปโปะเรื่อยๆ ให้หมดภายในสิบปี ดอกเบี้ยที่เสีย ก็ไม่ต่างกันมากค่ะ อันนี้จะช่วยคุณได้ในกรณีฉุกเฉินที่คุณต้องใช้เงิน และทำให้คุณนั้น ไม่เครีดมากในการจัดการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน


ค่าธรรมเนียมการโอน:

1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ( หัก ณ ที่จ่าย ) = ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร
2. ค่าธรรมเนียมการทำนิติกรรม ( ค่าโอน ) = 2 % จากราคาประเมินของกรมหรือราคาขาย แล้วแต่อย่างใดสูงกว่า
3. ค่าจดจำนอง ( กรณีจำนองกับสถาบันการเงิน ) = 1% ของมูลค่าที่จำนอง (จำนวนที่กู้ทั้งหมด)
4. ค่าอากรแสตมป์ (ชำระอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง อากรแสตมป์ หรือธุรกิจเฉพาะ) = 0.50% ตามราคาซื้อขายแต่ ไม่ต่ำกว่าราคาประเมินของกรม
5. ภาษีธุรกิจเฉพาะ ( ไม่ต้องชำระหากถือครองเกิน 5 ปี หรือมีชื่อในทะเบียนบ้านเกินหนึ่งปี) = 3.3% ของราคาซื้อขายที่ไม่ต่ำกว่าราคาประเมินของกรม
ค่าธรรมเนียมการโอนอาจออกคนละครึ่งระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกทั้งหมด อันนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงกันแต่แรก ดังนั้นควรตกลงเรื่องค่าธรรมเนียมการโอนต่างๆ ก่อนทำสัญญาจะซื้อจะขาย เพราะอาจมีการโต้เถึยงเกิดขึ้นได้ในวันโอน ทางที่ดีควรรวมรายละเอียดค่าธรรมเนียมการโอนไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายด้วยเพื่อป้องกันการโต้เถียงกันภายหลังโ

ข้อมูลจาก  (cordia.bloggang)

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

10ข้อ เคล็ดลับแต่งห้องนอนเล็กๆอย่างไรให้สวยเลิศ

10 เทคนิคเคล็ดลับ แต่งห้องนอนเล็กๆของคุณให้สวยเลิศ

ไม่ว่าห้องนอนจะอยู่ในคอนโด หรือที่บ้าน แต่หลายแห่งมักจะแบ่งห้องหรือซอยห้องออกมาเล็กจนน่าอึดอัดและหงุดหงิด พอครั้นจะขยายต่อเติมออก ก็ไม่มีงบพอหรือไม่มีพื้นที่เหลือเพียงพอที่จะขยายได้อีก แล้ววันนี้เรามาใช้เทคนิคการตกแต่งให้เป็นประโยชน์กันนะคะ กับเทคนิคที่จะช่วยให้คุณนั้น ตกแต่งห้องนอนขนาดเล็กของคุณให้ดูใหญ่ขึ้น น่านอนมากขึ้น

1. หากคุณไม่ชอบห้องสีขาวหรืออาจจะเพิ่งได้ห้องคอนโดใหม่มา แต่ไม่รู้จะใช้สีไหนดี ลองนำไอเทมสีเด่นเตะตามาตกแต่งห้องนอนดู อย่างห้องนี้ที่ใช้หมอน และผ้าคลุมเตียงที่เป็นสีส้มแดงเตะตา เข้ากับฉากจีนทำจากไม้และเพ้นท์สีทองจาง ๆ ทำให้ห้องดูเด่นขึ้นได้ อีกทั้งเก้าอี้ไม้สานโปร่งก็ช่วยให้ห้องดูปลอดโปร่งไปด้วยเช่นกัน

2. เปิดทางให้แสงผ่านเข้ามาภายในห้องบ้าง ช่วยให้ห้องสว่างมากขึ้น แต่เพิ่มความเป็นส่วนตัวจะติดตั้งมู่ลี่แบบม้วน หรือแบบแขวนที่ทำจากผ้าลูกไม้หรือผ้าทอมือก็ไม่เลวเหมือนกัน 
3. ขยายพื้นที่หัวเตียงให้กลายเป็นชั้นวางของเสียเลย สำหรับคนที่มีข้าวของเครื่องใช้หรือหนังสือมาก ๆ แนะนำว่าควรเป็นชั้นบิ๊วอินที่สูงจากพื้นถึงเพดาน จะช่วยให้ห้องดูโอ่โถงมากขึ้น สามารถติดตั้งไฟอ่านหนังสือได้ และทำอะไรได้สารพัดเลยเชียวแหล่ะ

 4. อย่ากลัวการใช้หน้าต่าง หน้าต่างจะเป็นตัวช่วยนำแสงสว่าง และความปลอดโปร่งเข้ามาในห้อง แนะนำว่าควรผลักเตียงให้ชิดหน้าต่างไปเลย จะเพิ่มพื้นที่ห้องให้มากขึ้นได้ และเพื่อความเป็นส่วนตัวในเวลากลางคืน คุณสามารถเลือกติดตั้งมู่ลี่ไว้บนหน้าต่างได้ด้วยเช่นกัน
5. ทริกแบบคลาสสิกสุด ๆ ก็คือใช้กระจกช่วยนั่นเอง ทำให้ห้องดูกว้างขึ้นได้อีกมาก แถมสมัยนี้ยังมีกระจกหลายเฉดสีให้คุณเลือกตามสไตล์ของห้องได้ด้วยนะคะ

 6. หากพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ลองเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์สั่งผลิตดู อย่างห้องนี้ที่มีพื้นที่อยู่ใต้หลังคา เพดานจึงลาดเอียงอย่างที่เห็น หากใช้เตียงธรรมดาคงจะไม่ได้แน่ จึงได้จ้างช่างมาออกแบบให้พอดีกับพื้นที่ แถมยังเป็นเตียงคู่เสียด้วย อีกทริกก็คือการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีความโปร่งใส ทำให้ไม่เกะกะสายตา หรือทำให้รก อย่างเก้าอี้อะคริลิกในห้องนี้เป็นต้นค่ะ
   
7. หากห้องนอนของคุณแคบลึก เหมือนห้องนอนห้องนี้ ลองตกแต่งผนังด้านในที่ลึกที่สุด ให้สวยโดดเด่นที่สุด ด้านเดียวไปเลย จะดึงสายตาดึงความสนใจไปที่ผนังห้องได้ อย่างห้องนี้เลือกใช้วอลล์เปอร์สีฟ้าอ่อนพิมพ์ลายสีบรอนซ์ทองดูหรูหรา อีกทั้งผ้าคลุมเตียงยังมีความแวววาว จึงเข้ากันได้ดีด้วย

8. ลองทำให้ Headboard ของคุณกลายเป็นพื้นที่สำหรับทำงานเสียเลย นี่เป็นตู้ที่มีสองด้าน ด้านที่หันเข้าหาเตียงจะเป็นชั้นหนังสือ เว้นที่ด้านซ้ายไว้เล็กน้อยสำหรับวางโคมไฟ ที่ให้แสงสว่างถึงโต๊ะทำงานอีกฝั่งได้ด้วย เหมาะสำหรับห้องนอนหน้าแคบลึกอีกเช่นกัน
9. แต่งผนังด้วยลวดลายและสีสันที่โดดเด่นดึงดูดสายตาไปเลย ก็สวยไปอีกแบบ อย่างห้องนี้ที่เลือกวอลล์เปเปอร์มากรุผนังลาดเอียงซึ่งเป็นห้องใต้หลังคา ให้มีลวดลายกราฟฟิก รับรองว่าถูกใจเด็กวัยรุ่นที่บ้านของคุณแน่ ๆ


10. สีขาวยังไงก็ไม่พลาดแน่.. แม้จะดูน่าเบื่อ แต่อันที่จริงแล้วขึ้นอยู่กับการตกแต่งมากกว่า ลองแต่งแบบห้องนี้ก็ได้ค่ะ คุมโทนสีขาว เทา แนวธรรมชาติเข้าไว้ ตกแต่งแต่น้อยสไตล์มินิมัลลิสต์ แค่นี้คุณก็ได้ห้องนอนที่ทั้งอบอุ่น สว่าง และเท่เกินใครแล้วค่ะ

ขอขอบคุณภาพจาก : st.houzz.com
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : homenayoo.com

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ค่าส่วนกลางคอนโด เก็บน้อยหรือว่ามาก ขึ้นอยู่กับอะไร

ค่าส่วนกลาง คอนโด เก็บน้อยเกินไปก็ไม่ดี มากเกินไปก็ไม่ไหว

“ค่าส่วนกลาง” เป็นค่าใช้จ่ายที่สำคัญมากของผู้ที่ซื้อคอนโดมิเนียม หรือเจ้าของห้องชุดที่ต้องช่วยกันจ่ายส่วนนี้ ถ้าสังเกตจะเห็นได้ว่าตอนแรกที่เราซื้อโครงการคอนโดใหม่มา ทางโครงการก็จะบอก หรือมีเอกสารการขายกำหนดอัตราค่าส่วนกลางไว้แล้ว ว่าจะเก็บตารางเมตรละเท่าไหร่อะไรอย่างไรมั้ง ซึ่งอัตราจัดเก็บส่วนนี้ สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ แต่ต้องเป็นอยู่ในมติของที่ประชุมใหญ่

ค่าส่วนกลางของคอนโด นั้น เมื่อเทียบราคากับบ้านจัดสรรแล้ว จะแพงกว่าอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากโครงการคอนโดฯ จะมีสิ่งที่อำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ใช้ร่วมกันมากกว่า หรือมีเหตุที่ให้ต้องใช้จ่ายมากกว่า เช่น ค่าจ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย, ค่าจ้างพนักงานเก็บขยะ, ค่าจ้างแม่บ้าน, ค่าไฟฟ้าในบริเวณที่เป็นพื้นที่ของส่วนกลาง อย่างลิฟต์, บันได, ค่าไฟที่อยู่นอกห้องชุด (ค่าไฟ, แอร์และโทรทัศน์บริเวณล็อบบี้) , ค่าเครื่องมืออุปกรณ์ทำความสะอาด อื่นๆ

โดยปกติในวันโอนกรรมสิทธิ์ผู้ซื้อมักจะต้องชำระ “ค่าส่วนกลางล่วงหน้า” ซึ่งทั่วไปแล้วกำหนดเอาไว้ 1-2 ปี ส่วนอัตราเท่าไหร่นั้นก็แล้วแต่โครงการจะกำหนด นิติบุคคลอาคารชุดแต่ละแห่งจะมีมาตรการในการจัดเก็บค่าส่วนกลางไม่เหมือนกัน แล้วแต่ข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดนั้นๆ เงินจัดเก็บสำหรับค่าส่วนกลางนี่กฎหมายกำหนดให้สามารถนำไปเป็นค่าใช้จ่ายประเภท “บริการสาธารณะ” ได้ แต่ทั้งนี้ต้องเฉพาะในกรณีที่ผู้จัดสรรที่ดินได้เขียนรายละเอียดไว้ในแผนงานโครงการ และวิธีการจัดสรรว่าจะเรียกเก็บค่าบริการสาธารณะจากผู้ซื้อที่ดินจัดสรร ตามอัตราที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการจัดสรรที่ดินที่กำหนดไว้ในขั้นตอนการยื่นคำขอจัดสรรเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการทำงาน หรือการดูแลบริหารการจัดการของทรัพย์สินส่วนกลางด้วย เช่นเงินเดือนของผู้จัดการฝ่ายนิติบุคคลอาคารชุด ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเครื่องใช้และอุปกรณ์ต่างๆ ในสำนักงานนิติบุคคลอาคารชุด รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่ประจำ เช่น ค่าซ่อมแซมระบบไฟฟ้า ประปา เป็นต้น

หน้าที่ของเจ้าของห้องชุดคอนโด ที่ต้องชำระค่าส่วนกลางทุกเดือนส่วนใหญ่รับรู้ กันทั่วไปแล้ว แต่ที่ยังมีคำถามอยู่บ้างคือข้อสงสัยที่ว่าทำไมค่าส่วนกลางถึงแพงจัง ?

อัตราค่าส่วนกลาง จะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยหลายสาเหตุ สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการที่มากน้อยไม่เท่ากัน จึงทำให้ค่าส่วนกลางแต่ละโครงการไม่เท่ากัน ถ้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากค่าส่วนกลางก็สูง เรียกว่าใช้มากก็ต้องจ่ายมากทำนองนั้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับระดับหรือประเภทคอนโดด้วย เช่น โครงการไฮเอนด์หรูๆ แน่นอนค่าส่วนกลางก็ต้องแพง เพราะมาตรฐานในการบริหารจัดการอาคารหรือพื้นที่ส่วนกลางต้องสูงไปตามระดับ จำนวนยูนิตในแต่ละโครงการก็มีผลเช่นกัน โครงการที่จำนวนยูนิตน้อยค่าส่วนกลางจะสูง เพราะตัวหารเฉลี่ยน้อยกว่า

เชื่อได้เลยว่า ถ้าเลือกได้ทุกคนก็คงเลือกคอนโดฯ ที่ค่าส่วนกลางถูกกว่าอย่างแน่นอน แต่ในความจริงนั้นคอนโดฯ ที่ค่าส่วนกลางต่ำๆ ก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่ควรที่สุดเสมอไป เพราะถ้าส่วนกลางมันต่ำเกินไป ก็อาจทำให้การบริหารจัดการ หรือการดูแลอาคาร และพื้นที่ส่วนกลางทำได้ไม่เต็มที่ หรือบริหารกันไปแบบตามมีตามเกิด เสมือนสายการบินโลว์คอส ที่จะทำอะไรก็ต้องประหยัดไว้ก่อน

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ แทบจะไม่มีคอนโด ไหนที่สามารถเก็บค่าส่วนกลางได้ 100% เต็มโดยไม่มีการค้างจ่าย ฉะนั้นแล้วค่าส่วนกลางที่จะกำหนดอัตราจัดเก็บไว้แล้ว เอาเข้าจริงก็ได้ไม่ครบหรือไม่พอก็มี แต่ถ้าสูงเกินไปก็ไม่ดีเพราะจะเป็นต้นทุนของเจ้าของห้องชุด ยิ่งหากเราซื้อเพื่อปล่อยเช่าแล้วค่าใช้จ่ายส่วนนี้มากเกินไปก็จะไปลิดรอนผล ตอบแทนให้ลดลงได้ แนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายส่วนกลางในกรณีที่เป็น

การซื้อคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่านั้น ก็คือจะจ่ายมากหรือจ่ายน้อยก็ขึ้นอยู่กับค่าเช่าที่เก็บได้เป็นหลัก ถ้าเก็บค่าเช่าได้น้อย ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็ต้องน้อยตามลงไปด้วย แต่ถ้าเก็บค่าเช่าได้มากถึงค่าส่วนกลาง  ค่าส่วนกลางจะสูงไปสักหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ในกรณีที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง อันนี้น่าจะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจและความสามารถในการจ่ายมากกว่า อยู่คอนโดแบบหรูก็ต้องยอมรับว่าต้องจ่ายแพงกว่า ถ้าไม่อยากจ่ายแพงก็คงต้องหาคอนโดฯ ถูกๆ ค่าส่วนกลางต่ำๆ อยู่กันไป

การไม่ชำระค่าส่วนกลางมีผลเสียมากมายต่อเจ้าของร่วมทุกคน ทางที่ดีควรชำระตามกำหนดไปเถอะครับ และร่วมกันบริหารจัดการหรือตรวจสอบบัญชีจะเป็นการดีกว่า การเก็บค่าส่วนกลางของนิติบุคคลเก็บไปก็เพื่อประโยชน์ในการดูแลใช้จ่าย ซ่อมแซมปรับปรุงทรัพย์ส่วนกลางให้สามารถใช้งานได้นานๆ และทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยในที่อยู่อาศัยของเราเอง
ขอขอบคุณ : cmc.co.th